04 พฤษภาคม 2552

ตามล่าหาโรงเรียน










1 ขวบ 9 เดือน (เดือน พฤษภาคม 2552)

น้ำหนัก 12.7 กิโล น้ำหนักโชกุนเริ่มลง ส่วนสูง 88 เซน



หาโรงเรียนให้ลูก

เริ่มต้นที่ โรงเรียนธรรมภิรักษ์ รุ่งประชา โรงเรียนที่สอนแนวบูรณาการ (วันที่ 22 เมษายน 2552) ไปถึงโรงเรียน เวลา 15.30 น. ซึ่งเป็นเวลาที่เด็กๆๆ กลับบ้านแล้วเดินไปที่คุณครูห้องการเงินถามระเบียบการ บอกน้องโชกุน 1.8 ขวบ ครูบอกว่าไว้ช่วง กรกฎา 2552 คุณแม่โทรมาถามนะคะว่าตอนนี้เปิดรับหรือยัง เพื่อเข้าเรียนช่วงเดือน พฤษภาคม 2553 และนโยบายของโรงเรียนธรรมภิรักษ์ รุ่งประชา ต่อไปจะไม่มีประถมมีแต่ อนุบาลเท่านั้น .........เดินสำรวจ รร. ด้านล่าง มีห้องพยาบาล มีเรียน ด้านนอกมีสนามเด็กเล่น สระว่ายน้ำ บอกตามตรงว่า สำรวจแบบหยาบมาก คิดว่ายังไงก้อต้องมา รร. นี้อีก 1 รอบแน่นอน เพื่อขอความละเอียดให้มากกว่านี้


วันแรงงาน (1 พฤษภาคม 2552) ชวนปะป๊าไปสำรวจ รร.ให้ลูก วันนี้ไป มา 3 โรงเรียน


รร. ที่ 1 อยู่แถว ซอยวัดกุฎี ใกล้กับโบสถ์ ซางตาครูด เข้าไปค่อนข้างลึก แต่มีรถรับส่งถึงบ้านคุณย่า รร.ติดกับแม่น้ำเลย บรรยากาศดีมาก (แต่ติดแม่น้ำอย่างนี้มันจะมียุงไหมอ่ะ โชกุนแพ้ยงด้วยจิ) เวลาเข้าเรียนคือ 9.00- 14.00 น. ..... สัดส่วนของครูต่อ นักเรียน เตรียมอนุบาล และอนุบาล 2:1 .....เป็นโรงเรียนที่เน้นไปในเรื่องของความพร้อม ซะเป็นส่วนใหญ่ โรงเรียนนี้มีถึงอนุบาล 3 .....ส่วนเรื่องอาหารก้อมีอาหารกลางวัน และอาหารว่าง 1 มื้อ ห้องเรียนเป็นพัดลม ไม่มีแอร์ ....... สื่อการเรียนอยู่ในระดับกลาง ติดที่ รร.ค่อนข้างแคบ สนามเด็กเล่นมี 1 จุดแต่พื้นเป็นกระเบื้องมองว่าค่อนข้างจะอันตราย ที่ไม่ชอบเลยจริงๆ คือห้องน้ำเป็นแบบนั่งยองๆ แล้วลูกเราจะนั่งได้เป่าเนี่ย... ส่วนค่าเรียนอยู่ที่เทอมละ หมื่น ถือว่าไม่แพงเลย แต่แม่แตนไม่ประทับใจอ่ะ

รร.ที่ 2 อยู่แถวจรัญ เป็น รร.ที่เปิดมาได้ 40 ปี เปิดตั้งแต่เตรียมอนุบาล จนถึงชั้น ป.6 สภาพโรงเรียนค่อนข้างเก่า แต่อุปกรณ์การเรียนโอเคนะ ส่วนเรื่องการเรียนจะเน้นไปทางเรื่องของพัฒนาด้านความพร้อม + เน้นศิลปะมากมาก.......(ซึ่งมันไม่ตรงกับ แนวทางที่เราสองคนต้องการเล๊ยยย) มีห้องคอม สนามเด็กเล่น (play land) สำหรับโชกุนด้วย และมีสนามเด็กเล่นของเด็กโต .... ที่ไม่ชอบก้อคือ สระว่ายน้ำขึ้นไปอยู่ชั้น 3 (ลูกเราจะขึ้นไปไหวไหมเนี่ย อันตรายเกินไป) ห้องเรียนเป็นห้องแอร์ ห้องน้ำเป็นห้องน้ำรวมของเด็กเล็ก แต่ขอบอกว่ากลิ่นสุดยอดดด .....ส่วนค่าเรียนเทอมละ 15,000 บาท และรถรับส่งเดือนละ 2,500 บาท..... เวลาเข้าเรียน 8.00-15.00 น. มีเบรคเช้า อาหารกลางวัน และอาหารว่างตอนบ่ายอีก 1 มื้อ.... สัดส่วนของครูต่อ นักเรียน เตรียมอนุบาล และอนุบาล 2:1 .......จะบอกว่าก้อขอเก็บไว้ก่อน เพราะยังไม่ประทับเท่าที่ควร

รร.ที่ 3 อยู่แถวจรัสอีกแร๊ะ แต่อยู่ฝั่งตรงข้ามเปิดสอนตั้งแต่ เตรียมอนุบาล – ม.3 เปิดมาได้ 30 ปี ชอบการต้อนรับของครู ดูเป็นกันเองกับเด็ก ........คุยกับคุณครู ค่าเรียนขอบอกว่าเท่ากับธรรมภิรักษ์เลย อิอิ...... จากนั้นครูพาเดินดูห้องเตรียมอนุบาล ซึ่งอยู่ชั้นล่าง ....... โชกุน ไม่รอช้าวิ่งเข้าไปเล่นของเล่นทันที สื่อการเรียนอยู่ในขั้น โอเค มีทั้งห้องสมุดเปิดโอกาสให้เด็กเข้าไปรื้อได้ อาทิตย์ละ 1 ครั้ง , ห้องคอมพิวเตอร์ ,สระว่ายน้ำ , ห้องศิลปะ เด็กจะมีโอกาสเข้าไปเรียน 1 ครั้งต่อสัปดาห์ ... ห้องสนามเด็กเล่น (play land) สำหรับเด็กเล็ก + สนามเด็กเล่นขนาดใหญ่อีก 1 แห่ง ที่ชอบน่าจะเป็นส่วนของห้องน้ำที่จะอยู่หลังห้องเรียน แต่แยกเป็นสัดส่วน ห้องเรียน 1 ห้องห้องน้ำจะอยู่ด้านหลัง ส่วนชักโครกจะเป็นแบบของเด็กเล็กโดยเฉพาะ ลืมไปสัดส่วนของครูต่อ นักเรียน เตรียมอนุบาล 3 : 1 ส่วนอนุบาล 2:1 ด้านการสอนเน้นไปทางวิชาการ ......ประทับใจ รร.นี้แต่ว่าปะป๊าบอกว่าจะเรียนถึง ม.3 เหรอแล้วจบต่อ ม.4 ที่ไหนละ อิอิ นี่แหละประเด็นต่อไป.....


------------------------------------------------------


แวะมาดูพัฒนาการที่เป็นช่วงที่สำคัญของโชกุนตอนนี้ดีกว่าค่ะ


พัฒนาการด้านอารมณ์

ตอนนี้โชกุนเริ่มเข้าสู่วัย Terrible 2 (วันต่อต้าน) ซึ่งเป็นวันที่เด็กมีความเป็นตัวของตัวเองสูง จะหงุดหงิดโดยที่เราไม่รู้ว่าเกิดจากอะไร งอแงลงไปนอนดิ้น แย่งของจากคนอื่น เอาใจตัวเอง ไม่ได้ดังใจก้อกรี๊ดด อันนี้มันเป็นพัฒนาการอีกด้านหนึ่งของลูก ซึ่งจากเท่าที่ศึกษามาเด็กจะเริ่มมีอาการนี้ตั้งแต่ช่วงอายุ 19 เดือน – 3 ขวบ วิธีการที่จะจัดการกับพฤติกรรมแบบนี้ เรื่อง การห้าม ของเราก็อาจเป็นสาเหตุให้อารมณ์ของลูกไม่สมดุลได้เช่นกัน ซึ่งสิ่งที่จะเกิดตามมาก็คืออาการก้าวร้าว หงุดหงิด อึดอัดคับข้องใจ และโกรธเกรี้ยว ซึ่งพฤติกรรมเหล่านี้ย่อมไม่ส่งผลดีต่อพัฒนาการทางด้านอารมณ์และจิตใจของลูกต่อไปแน่ๆด้วยประการฉะนี้ สิ่งที่เราทำได้ คืออดทนและเข้าใจ พร้อมกับยอมรับว่า นี่เป็นขั้นหนึ่งของพัฒนาการที่เด็กทุกคนต้องก้าวผ่านไปได้ และลูกที่แสนจะน่ารักก็กลับมาเป็นของคุณอีกครั้งหนึ่ง…ในไม่ช้า


สิ่งพ่อแม่ทำได้มากกว่าการ "ห้าม"


-เปิดโอกาสให้ลูกแสดงวามสามารถโดยการได้ลองช่วยเหลือตัวเองบ้าง เช่น ลองใส่เสื้อผ้าเอง ช่วยหยิบหนังสือให้คุณพ่อ ยกตะกร้าผ้าให้คุณแม้ และเมื่อลูกต้องการความช่วยเหลือ เราก็ช่วยลูกได้ เพื่อให้เขามั่นใจว่าเรายังเป็นที่พึ่งให้เขาได้เสมอ

-บางครั้งเราอาจต้องยอมรับผ่อนปรนกับบางเรื่องที่ไม่เหลือบ่ากว่าแรง เช่น ถ้าลูกคว้าแก้วน้ำมาเล่น แล้วเราปล่อยให้เล่นโดยคอยระวังอยู่ใกล้ๆ สักพักเขาก็จะไม่สนใจไปเอง เพราะต้องการเพียงจับต้อง หรือปฏิเสธคำสั่งของพ่อแม่เท่านั้น เมื่อเราไม่ออกคำสั่งและเขาได้จับแก้วสมใจ เรื่องก็จะผ่านไปด้วยดีค่ะ


-เลี่ยงคำถามที่จะทำให้เกิดคำตอบว่า ไม่ จากลูก เช่น แทนที่จะพูดว่า “ลูกจะนอนหรือยังจ๊ะ หรือ หนูจะกินข้าวไหมจ๊ะ” แต่ ควรพูดว่า “ได้เวลาเข้านอนแล้วนะลูก”-ใช้วิธีการหันเหความสนใจด้วยสิ่งอื่นๆ เช่น แทนที่จะห้ามลูกเคาะจานเสียงดัง ลองชวนเขาเคาะอย่างอื่นแทน เช่น ไหนลองเคาะหนังสือดูซิว่าเสียงเป็นยังไง มีเสียงรึเปล่านะ เป็นต้น

-แปลคำว่า ไม่ ของลูกให้กลายเป็นเรื่องเล่นๆ ดูบ้าง เช่น ลูกไม่ยอมกินผัก ก็อาจจะลองแกล้งหยิบสิ่งของอื่นๆ ที่กินไม่ได้ให้เขากิน สักพักเขาก็จะรู้สึกสนุกและหัวเราะออกมาเอง วิธีนี้จะช่วยลดความก้าวร้าวในการพูดไม่ของลูกลงค่ะ


-ใช้คำสั่งให้น้อยที่สุด เฉพาะเวลามีเหตุจำเป็นเท่านั้น เช่น อาจเกิดอันตราย แต่ทุกครั้งในการห้ามไม่ให้ลูกทำอะไรควรมีทางออกให้เขาเลือกด้วย เช่น “หนูจะเล่นน้ำก็ได้ แต่เอาออกมาเล่นข้างนอกห้องน้ำไม่ได้นะ”

-ถ้าเรื่องเป็นอันตรายสำหรับลูก ควร ห้าม อย่างจริงจังและควรหาสิ่งที่ไม่เป็นอันตรายมาทดแทนให้-พยายามทำไม่รู้ไม่ชี้กับคำว่า ไม่ ของลูกให้มากที่สุด